ไอดอลผู้ (ไม่) ล้มเหลว

หนึ่งซีรีส์น้ำดี IDOL: The Coup (2021) ที่สะท้อนแง่มุมสังคมในเรื่องราวชีวิตของเหล่าไอดอล ที่ครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตที่พยายามไขว่คว้าตามหาความฝันการเป็นไอดอล จนในที่สุดโอกาสของพวกเขาก็มาถึงแต่แล้วด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างแม้จะถึงฝ่าฝันแล้วแต่ผลที่ได้กลับไม่เป็นอย่างที่พวกเขาคิด แต่จะให้ถอยหลังก็ไม่อาจจะกลับไปมีแต่ต้องพยายามเดินหน้าจนถึงที่สุด และซีรีส์เรื่องนี้เองเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวในมุมมองหนึ่งของการเป็นไอดอลที่พวกเขาต้องทุ่มเทและพยายามกว่าจะมีวันนี้ เรื่องย่อ : IDOL : The Coup ซีรีส์ถ่ายทอดเรื่องราวสุดท้ายของไอดอลผู้ล้มเหลวที่ต้องการอยากจะลิ้มรสความสำเร็จเพียงสักครั้งเพื่อที่จะยุบวง โดยซีรีส์จะสะท้อนชีวิตของเหล่าคนวัยหนุ่มสาวที่ละทิ้งความฝันของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ เป็นคู่มือการอำลาที่แสนพิเศษสำหรับคนที่ไม่สามารถล้มเลิกความฝันที่ล้มเหลวของตัวเองได้ ซึ่งจะแสดงให้เห็นอีกด้านของวัยรุ่นในยุคนี้ที่พบเจอกับความล้มเหลวและความท้าทายซ้ำแล้วซ้ำเล่า และการเติบโตของพวกเขาที่กล้าจะไล่ตามความฝันใหม่โดยไม่เสียใจ นักแสดงนำ ควักชียัง รับบทเป็น ชาแจฮยอบ ฮานิ หรือ อันฮียอน รับบทเป็น คิมเจนา อันซลบิน LABOUM รับบทเป็น ฮยอนจี ฮันโซอึน รับบทเป็น สเตลล่า เอ็กซี่ WJSN รับบทเป็น แอล กรีน รับบทเป็น แชอา คิมมินกยู รับบทเป็น ซอจีฮัน โจจุนยอง รับบทเป็นอ่านต่อ

I Wanna Dance with Somebody

ถึงคิวของอีกหนึ่งดีว่าในตำนาน ที่ใคร ๆ ก็ยกให้เธอผู้เป็น “แม่” สุดยอดนักร้องเสียงทรงพลังแห่งยุค กับชีวิตที่พุ่งขึ้นสูงสุดและดิ่งลงต่ำสุดในช่วงเวลาแห่งความโด่งดัง นี่คือ “I Wanna Dance with Somebody ชีวิตมหัศจรรย์…วิทนีย์ ฮุสตัน” ตีแผ่ชีวประวัติของนักร้องหญิง “วิทนีย์ ฮุสตัน” เจ้าของเพลงดังอมตะติดหูมากมาย นับว่าเป็นอีกหนึ่งชีวิตของตำนานคนเพลงที่ถูกนำมาขึ้นจอ ท่ามกลางยุคที่หนังแนว ๆ ทยอยสร้างมาเรื่อย ๆ ว่าแต่เรื่องนี้จะยังสร้างเสน่ห์และมนต์ขลังได้หรือไม่? เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ที่ได้รับฉายาว่า The Voice เธอคนนั้นคือ วิทนีย์ ฮุสตัน ผู้ที่หลายคนสามารถเรียกได้อย่างเต็มปากว่าเธอคือ ราชินีสุดยิ่งใหญ่แห่งวงการเพลง จากการสร้างสถิติในการกวาดรางวัลบนเวทีประกาศรางวัลของวงการนี้มากมาย และนี่คือเส้นทางแห่งห้วงชีวิตอันแสนมีเวลาจำกัดของเธอผู้นี้ ทั้งสุข ทั้งทุกข์ ทั้งหลากหลายอารมณ์กับเส้นทางในวงการเพลง จากนักร้องเพลงประสานเสียงในโบสถ์เล็ก ๆ มาเป็นซูเปอร์สตาร์ดาวจรัสระดับโลก ที่มีเสียงอันทรงพลังที่โลกจำไม่ลืม คงจะต้องร้อยเรียงกันแบบตรงไปตรงมาว่า I Wanna Dance with Somebody เป็นหนังชีวประวัตินักร้องชื่อดังเรื่องหนึ่ง ที่น่าเสียดายไปสักหน่อยอ่านต่อ

Coco

เรื่องย่อ เด็กหนุ่มวัยแสวงหาตัวตนอย่าง มิเกล ผู้ใฝ่ฝันจะเป็นอย่าง เออร์เนสโต้ เดอ ลา ครูซ นักดนตรีที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ของเม็กซิโก แล้ววันแห่งคนตาย ประเพณีที่คนเม็กซิกันเชื่อว่าวิญญาณบรรพบุรุษจะกลับมาเยี่ยมญาติ ๆ ของตนก็วนมาถึง แต่สำหรับเขามันคือโอกาสในการเข้าแข่งขันโชว์ความสามารถด้านดนตรีที่เขาแอบฝึกฝนมาตลอด เคราะห์ร้ายไปหน่อยที่อุปสรรคมากมายขัดขวางเขาจนทำให้เขาหลุดไปในโลกวิญญาณ และทางที่จะกลับมาได้ก็มีเพียงการทำให้ผีบรรพบุรุษยอมรับในตัวเขาให้ได้ ซึ่งก็ไม่น่ามีปัญหาถ้าเขาจะยอมเลิกเล่นดนตรีที่เป็นความฝันไปตลอดชีวิตได้ง่าย ๆ ต้องยอมรับว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ Pixar เป็นค่ายที่ทำการ์ตูนแอนิเมชั่นได้สนุก และเล่าเรื่องดีงาม แถมสอนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ได้ดีกว่า หนังที่ใช้คนแสดงจริง ๆ หลายต่อหลายเรื่องเสียอีก ปีนี้ก็เป็นอีกปี ที่เรามั่นใจว่าหนังแอนิเมชั่นจากค่าย Pixar จะต้องได้เข้าชิงออสการ์ ดีไม่ดีอาจได้รางวัลชนะเลิศไปเลยเสียด้วยซ้ำ สำหรับเรื่อง COCO ปีนี้ตัวเราเองอาจได้ดูหนังแอนิเมชั่นไปไม่เยอะเรื่องนัก แต่ค่อนข้างมั่นใจว่า COCO เป็นหนึ่งในหนังแอนิเมชั่นที่ดีและสนุกที่สุดเรื่องหนึ่งแห่งปี 2017 เพราะความดีงามและความสนุกของ COCO ทัดเทียมกับ Zootopia, Inside Out และอีกหลาย ๆ เรื่องที่เข้าชิงและได้รับรางวัลออสการ์เมื่อปีก่อน ๆ มาแล้วอ่านต่อ

The Grinch

จากหนังสือการ์ตูน นิทานภาพสำหรับเด็กผลงานการเขียนของ ดร.ซูส (ธีโอดอร์ ซูสส์ ไกเซิล) ซึ่งใช้ภาษาเข้าใจง่าย แฝงอารมณ์ขัน มีจุดเด่นคือภาษาที่ใช้นั้นจะเป็นสัมผัสสระคล้องจอง อีกทั้งยังแฝงปรัชญาชีวิตชวนคิด ซึ่งนอกจากเด็กๆจะได้คำสอนแล้ว ยังได้เกร็ดความคิดในการพัฒนาชีวิตให้เขาเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดีอีกด้วย แอนิเมชั่นบอกเล่าเรื่องราวของกริ๊นช์ สิ่งมีชีวิตตัวสีเขียวที่อาศัยอยู่บนยอดเขาสูง เขาใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวร่วมกับสุนัขแสนรู้อย่างแมกซ์ เวลาว่างของกริ๊นช์นั้นหมดไปกับการประดิษฐ์เครื่องไม้เครื่องมือเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับชีวิตของตัวเอง และน้อยครั้งนักที่เขาจะเดินทางลงไปยังหมู่บ้านฮูวิลล์ เพื่อจับจ่ายใช้สอยซื้ออาหารและอุปกรณ์ยังชีพ เมื่อถึงคริสต์มาสในแต่ละปี ชาวฮูรบกวนความเป็นส่วนตัวของกริ๊นช์ ด้วยการเฉลิมฉลอง ร้องเพลงเสียงดังและการประดับประดาไฟที่สว่างจ้า ยิ่งไปกว่านั้น บริคเกิ้ลบาว์น เพื่อนบ้านที่ดูเหมือนจะร่าเริงได้ตลอดเวลาได้ประกาศว่าปีนี้ เขาจะจัดงานคริสต์มาสให้ใหญ่กว่าทุกปีถึงสามเท่า สิ่งเดียวที่กริ๊นช์จะได้ความเงียบสงบกลับคืนมา คือการ “ขโมยวันคริสต์มาส” ซะ เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในแอนิเมชั่นเรื่องนี้ คือการพาเด็กๆไปทำความรู้จักกับบุคคลที่แปลกแยกจากสังคมอย่างเดอะกรินช์ เขาต่อต้านสังคมเพียงเพราะว่า ในอดีตนั้นเขารู้สึก (ไปเอง) ว่าตัวประหลาดอย่างเขาน่าจะไม่เป็นที่ต้องการของคนทั่วไป เมื่อขาดการเหลียวแล ทำให้เขาเลือกจะตอกย้ำตัวเองด้วยการออกมาใช้ชีวิตอยู่คนเดียว และทุกครั้งที่เขาเห็นผู้คนทั่วไปกำลังมีความสุขและเฉลิมฉลองกับเทศกาลนั้น ความรำคาญที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากความรู้สึกโดดเดี่ยว เกิดความอิจฉาในความสุขของคนอื่น และเปลี่ยนความยินดีของผู้คนเหล่านั้นให้กลายเป็นความน่ารำคาญแทน แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้น เกิดจากการที่ตัวกริ๊นช์เองไม่เคยเปิดใจรับว่า ความหงุดหงิดรำคาญที่เกิดขึ้นในใจของเขานั้นเป็นเพราะเขาต่อต้านเทศกาล หรือเป็นเพราะเขาไม่เคยเดินเข้าหาคนอื่น เพื่อทำความเข้าใจว่า บางครั้งความสุขนั้นก็เกิดขึ้นได้ เพียงแค่เราลองเปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนความคิดอ่านต่อ

Kokdu: Season of Deity

ซีรีส์แนวแฟนตาซี การแพทย์ ที่บอกเล่าเรื่องราวของ ยมทูตระดับสูง นามว่า ‘ก๊กดู’ ที่จะได้หยุดพักทุก ๆ 99 ปี และใช้เวลาบนโลกมนุษย์เป็นระยะเวลา 49 วัน ซึ่งในครั้งนี้เขาได้มาอยู่ในร่างมนุษย์คนหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘โดจินอู’ ระหว่างที่ใช้ชีวิตเป็นโดจินอู เขาได้พบกับ ฮันกเยจอล แพทย์หญิงคนหนึ่งที่มีความสามารถลึกลับในการสั่งการเขาได้ บทบาทแพทย์หญิง ฮันกเยชอล ที่จบการศึกษาจากสถาบันทางการแพทย์ระดับปลายแถว โดยหลังจากที่สูญเสียแม่ไปตั้งแต่อายุยังน้อย เธอก็เหลือเพียงน้องชายเท่านั้น ด้วยสภาพชีวิตและสังคมที่ให้ความสำคัญแค่กับแพทย์จากสถาบันมีชื่อเท่านั้นทำให้ความมั่นใจในตนเองของเธอนั้นตกต่ำลงในทุกวัน ๆ จนกระทั่งชีวิตดำเนินมาสู่จุดเปลี่ยนเมื่อได้พบกับ โดจินอู ผู้คอยอยู่เคียงข้างเธอ ภายในโปสเตอร์ได้มีการเผยเคมีสุดน่ารักของ ก๊กดู และ ฮันกเยจอล ที่ได้เผยความสนิทสนมผ่านท่าทางที่ใกล้ชิด โดย ฮันกเยจอลนั่นได้ยืนอยู่ด้านหลังของก๊กดู ในลักษณะโน้มตัวจับศีรษะของก๊กดูเอาไว้ ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มอันสดใส ในด้านของก๊กดูนั่นแม้คิ้วจะมีการขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่โดยรวมเขาก็ยังแสดงความผ่อนคลายสบาย ๆ ในขณะที่ถูกฮันกเยจอลโน้มตัวเข้ามาอย่างใกล้ชิด แสดงให้เห็นถึงความสบายใจของเขาที่ได้ใกล้ชิดกับฮันกเยจอล ประกอบกับคำที่ปรากฏอยู่บนโปสเตอร์ “เรื่องราวการถกเถียงที่โรแมนติกระหว่าง ยมทูต และ มนุษย์” ต่างก็ทำให้แฟน ๆอ่านต่อ

Roald Dahl’s Matilda the Musical

ได้เวลามาหรรษาส่งท้ายปีกับหนังที่เหมาะเจาะกับช่วงเทศกาลวันหยุดปลายปีแบบนี้ กับหนังที่หยิบเอาละครเวทีบอร์ดเวย์ในตำนานมาขึ้นจออีกครั้งกับ “Roald Dahl’s Matilda the Musical” นับว่าเป็นโจทย์ที่ท้าทายยิ่งนัก เพราะโครงเรื่องนี้เคยถูกนำมาสร้างแล้วหลายฉบับ แต่ในเวอร์ชั่นมีการปรับปรุงบนโครงสร้างเดิม กลั่นกรองออกมาเป็นหนังมิวสิคัลบันเทิงใจเกือบ 2 ชั่วโมง ที่ดูได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ๆ สุดว้าวไปเลย เรื่องราวของ มาทิลด้า เวิร์มวูด เป็นเด็กหญิงที่เปี่ยมไปด้วยความสนใจใฝ่รู้ ความฉลาดหลักแหลมและจินตนาการสุดบรรเจิด แล้วเธอก็มีพ่อแม่ที่แย่ที่สุดในโลกด้วย ขณะที่พ่อแม่ของเธอมัวแต่ดูรายการทีวีไร้สาระ และวางแผนหาเงินด้วยการต้มตุ๋นไปวันๆ เธอกลับชอบขลุกตัวอยู่กับการอ่านหนังสือที่เธอโปรดปราน พ่อแม่ของเธอเป็นคนเสียงดัง เห็นแก่ตัว และใจร้าย ส่วนเธอจะคอยเป็นผู้สังเกตการณ์อยู่เงียบๆ พร้อมคิดหาวิธีแผลงฤทธิ์ต่อต้านและแก้แค้นเล็กๆ น้อยๆ เมื่อได้มาพบกับครูผู้เป็นแรงบันดาลใจให้เธออย่างครูฮันนี่ มาทิลด้าก็รู้สึกมีกำลังใจและเริ่มปลดปล่อยจินตนาการอันน่าอัศจรรย์ของเธอออกมา มาทิลด้าตื่นเต้นที่จะได้เข้าเรียนที่โรงเรียนครันเช็มฮอลล์ และต้องแปลกใจเมื่อได้รู้ว่าโรงเรียนแห่งนี้อยู่ภายใต้การปกครองที่กดขี่และโหดร้ายของครูทรันช์บูล ที่ทั้งตัวใหญ่และร้ายกาจ อาจจะเพราะว่าในครั้งนี้ยังคงได้ “แมทธิว วอร์ชัส” ผู้กำกับจากฉบับบอร์ดเวย์มาสานต่อและร่วมสร้างฉบับนี้ให้ จึงทำให้เป็นการต่อยอดความมหัศจรรย์ให้กับตำนานของเรื่องราวนี้ออกมาให้มีชีวิตชีวาในอีกรูปแบบ เติมแต่งเสริมจินตนาการในรูปแบบละครเวทีทำไม่ได้ ถือว่าเป็นจุดเด่นของหนังเรื่องนี้โดยแท้ หนังยังสามารถเก็บรายละเอียดต่าง ๆ ของต้นฉบับเอาไว้ได้อย่างน่าพอใจ ประยุกต์บางมุมให้เข้าสมัยยิ่งขึ้น แม้ว่าจะสไตล์นิทานสอนเด็กที่น่าจะรู้เรื่องและรู้ทิศทางได้ดีแล้ว แต่การนำเสนอของหนังก็ถือว่าทำออกมาได้อยู่ เช่นเดียวกันอ่านต่อ

"Lyle, Lyle, Crocodile

รื่องนี้ก็ทำให้รู้สึกใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ อยู่เหมือนกัน เพราะเกรงว่าจะไม่มีโอกาสได้ลงโรงฉายเสียแล้ว หลังจากที่ผลัดเปลี่ยนวันฉายไปหลายครั้ง นี่คือ “Lyle, Lyle, Crocodile ไลล์ จระเข้ตัวพ่อ..หัวใจล้อหล่อ” หนังผจญภัยแฟนตาซีอบอุ่นทั้งครอบครัว ที่ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมเยาวชนเล่มดัง กลายออกมาเป็นหนังไลฟ์แอคชั่นผสมแอนิเมชั่นที่ไร้พิษไร้ภัย วาดลวดลายออกมาเป็นตัวเป็นตนที่สนุกสนานประทับใจได้อีกฉบับ Lyle, Lyle, Crocodile ไลล์ จระเข้ตัวพ่อ..หัวใจล้อหล่อ เป็นเรื่องราวของ ไลล์ จระเข้ที่มีความสามารถในการร้องเพลงและไม่ทำร้ายมนุษย์ เขาจึงได้อาศัยอยู่ร่วมกับแม่และลูกในบ้านหลังหนึ่งใจกลางเมือง การผจญภัยที่น่าเหลือเชื่อจึงได้เริ่มต้นขึ้น พร้อมกับบทพิสูจน์ชีวิตอันท้าทายกับอัตลักษณ์ตัวตนของเขาที่ต้องการให้โลกมองให้อีกมุมที่ไม่ใช่แค่เพียงภาพลักษณ์เท่านั้น โดยหนังบทหนังจาก “วิล ดาวีย์ส” ที่มาดัดแปลงเขียนบทหนังให้ ที่ถือว่ามากับโครงการสูตรสำเร็จแบบเดิม ๆ ที่ผู้ชมน่าจะรู้ทิศทางของหนังได้ไม่ยาก แต่กลายเป็นว่าบทหนังยังเก็บรายละเอียดในวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ที่ต้องการสื่อสารออกมาได้ค่อนข้างเด่นชัด โดยเฉพาะประเด็นการก้าวข้ามวัยและการเติบโตขึ้นในสังคมที่แตกต่าง ที่ต้องการการยอมรับจากคนรอบข้าง เป็นแนวคิดเชย ๆ ที่สร้างสรรค์และตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี แม้ว่างานสร้างระหว่างพาร์ทคนแสดงกับแอนิเมชั่นอาจจะไม่ค่อยข้างลื่นไหลเข้าไปด้วยกันได้แนบเนียนเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ใช่จุดด้อยใด ๆ ของหนังเรื่องนี้ เพราะหนังยังได้ทิศทางการเล่าเรื่องที่สนุกมาช่วยพยุงเอาไว้ งานสร้างแอนิเมชั่น เจ้าไลล์อ่านต่อ

Guillermo del Toro's Pinocchio

ถ้าหากว่าคุณยังไม่รู้สึกสะอิดสะเอียนและเลี่ยนไปกับเรื่องราวเทพนิยายของเจ้าหุ่นกระบอกในตำนาน ก็ลองมาเปิดใจและล้างตาดูอีกหนึ่งเวอร์ชั่นที่ส่งออกมาในช่วงปลายปีนี้ กับ “Guillermo del Toro’s Pinocchio” หนังแอนิเมชั่นสตอปโมชั่น ฝีมือการรังสรรค์ของสุดยอดผู้กำกับ “กีเยร์โม เดล โตโร” ที่แม้จะเอาท่วงทำนองเดิม ๆ มาปรุงแต่งใหม่ แต่จินตนาการและไอเดียของเขาก็ยังบรรเจิดเลิศล้ำในโลกภาพยนตร์มากเลยจริง ๆ เชื่อว่าทุกคนก็น่าจะคุ้นเคยกับเรื่องราวเทพนิยายบทนี้ดีอยู่แล้ว ร้อยเรียงจากนิทานสุดคลาสสิกของ การ์โล กอลโลดี กับ หุ่นกระบอกไม้ที่มีชีวิตขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ เพื่อมาซ่อมแซมและเติมเติมหัวใจของช่างแกะสลักวัยชรา ที่ได้นำพาทุกคนไปผจญภัยในโลกที่แสนซุกซนและท้าทายของพิน็อคคิโอ ที่ต้องการแสวงหาโลกใบใหม่กับสถานที่ที่เขายังไม่เคยได้รู้จักมาก่อน คงต้องสารภาพตรง ๆ ว่าหนังเวอร์ชั่นก่อนทำเอาไว้ค่อนข้างเข็ดหลาบพอสมควร จึงเป็นเหตุทำให้ Guillermo del Toro’s Pinocchio ฉบับนี้เปิดดูด้วยการก่อกำแพงเป็นเกราะกำบังเอาไว้หนาระดับหนึ่งเลยทีเดียว แต่กระนั้นก็ลองเปิดใจดูอย่างถึงที่สุด ก็พบว่าเวอร์ชั่นนี้ช่างงดงามยิ่งกว่าฉบับไลฟ์แอคชั่นของดิสนีย์ที่เคยทำเอาไว้อยู่หลายขุม แค่นอนดูเทคนิคงานสร้างแบบสตอปโมชั่นก็เพลินดีแล้ว และแน่นอนว่าไฮไลต์ของหนังเรื่องนี้ก็ถือองค์ประกอบงานสร้าง ที่ต้องยกนิ้วให้ทั้งหมด 10 นิ้วไปเลย กีเยร์โม เดล โตโร ก็ยังคงไม่ทิ้งลีลาจัดจ้านในความเป็นมืออาชีพในการสร้างงานสตอปโมชั่นที่เต็มไปด้วยรายละเอียดและเสน่ห์ในรูปแบบตัวเอง และเรามักจะเพลิดเพลินเสมอ ๆ ที่มักจะได้เห็นเบื้องหลังงานสร้างในฉบับของเขา และยิ่งทำให้รู้สึกทึ่งตลอดอ่านต่อ

Trolls World Tour

Trolls World Tour ลงจัดจำหน่ายทาง Premium VOD แทนการฉายโรง แต่ในตลาดต่างประเทศ หนังก็ยังได้เข้าโรงฉายตามเดิมซึ่งก็ต้องบอกว่าเป็นโชคดีของเราเลยก็ว่าได้ที่มีโอกาสได้ดูแอนิเมชันสีสันสวยสดพร้อมงานเพลงสุดเฉียบกันในโรงหนัง Trolls World Tour ภาคนี้ได้เล่าย้อนตำนานของโทรลส์ ว่าด้วยกำเนิดแห่งเสียงดนตรีเมื่อพระเจ้ามอบสายเสียงที่เหมือนสายพิณไว้ให้ 6 สายแทนแนวเพลงแต่ละแนวทั้งคลาสสิก, ร็อก, พอป, เทคโน, คันทรีย์ และ ฟังก์ จนกระทั่งวันหนึ่งก็มีอันทำให้โทรลส์แต่ละเผ่าเอาสายเสียงของแนวเพลงตัวเองไปเก็บไว้ โดยไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นสาเหตุที่ทำให้โทรลส์แต่ละเผ่าพันธุ์ต่างแบ่งแยกแตกความสามัคคีและมุ่งแต่จะรักษาเส้นเสียงและแนวดนตรีของตัวเองให้ดีที่สุด และโดยที่ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก Trolls World Tour ก็แทบจะมีสารทางการเมืองชัดเจนเหลือเกินและการที่มันมาในรูปแบบแอนิเมชันก็ทำให้มันสื่อสารกับเด็กได้เข้าใจง่ายเสียด้วย ว่าคนเราไม่จำเป็นต้องเหมือนกันหมด ยิ่งเมื่อแทนค่าแนวดนตรีด้วยสีผิว ศาสนา หรือความเชื่อแล้วล่ะก็ยิ่งชัดเจนทีเดียว โดยหลักฐานสำคัญนอกจากคำพูดของบาร์บที่เหยียดแนวเพลงพอปว่าไร้แก่นสารและมีดีแค่ท่อนฮุกติดประสาทแล้ว แม้แต่พอปปีเองก็ยังพยายามจะท้าทายความเชื่อของ โทรลส์เผ่าคันทรีย์ว่ามีแต่เพลงเศร้าและหดหู่ จนเผลอร้องเพลง Who let the dogs out จนกลายเป็นข้อบาดหมางใหญ่โต และเมื่อเราเอาพลอตของหนัง Trolls ทั้ง 2 ภาคมาเทียบเรากลับพบความเชื่อมโยงในความต่างของภารกิจของพอปปีและแบรนช์ทั้ง 2 ครั้งอ่านต่อ

Spirited

ถึงคิวอีกหนึ่งหนังใหญ่ในช่วงปลายปีนี้ ที่กลายเป็นหนังสตรีมมิ่งจอเล็กที่เต็มไปด้วยสีสันและเสียงเพลงกับการคลุกเคล้าปรุงแต่งเรื่องราวดั้งเดิมในแบบฉบับใหม่ กลายออกมาเป็น “Spirited” หนังสไตล์ฟ้ามีตาในรูปแบบมิวสิคัล และมุกตลกลื่นไหลด้วยพรสรรค์ของทีมนักแสดงล้วน ๆ กลั่นกรองออกมาเป็นหนังแฟนตาซีที่ว่าบาปบุญคุณโทษที่อลวลอลเวงไป2 ชั่วโมง Spirited เป็นหนังที่หยิบเอาวรรณกรรมในตำนานของ ชาร์ลส์ ดิกเคนส์ มาปัดฝุ่นและปรุงแต่งใหม่ในรูปแบบมิวสิคัล เรื่องราวของ คลินต์ บริกส์ ชายหนุ่มที่เติบโตมาพร้อมกับนิสัยที่แย่ เขาปีนป่ายขึ้นสู่เส้นทางความสำเร็จด้วยความเห็นแก่ตัวอย่างแรงกล้า กระทั่งพบว่าตัวเองตกอยู่ในวังวนแห่งการผจญภัยแสนอัศจรรย์ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส แบ่งเป็นอดีต, ปัจจุบัน และอนาคต ที่เป็นการค้นหาว่าเขาผ่านอะไร แล้วปลายทางจะลงเอยด้วยชีวิตที่น่าสังเวชและโดดเดี่ยวแค่ไหน ถ้าหากว่าเขายังมั่นในการใช้ชีวิตในแบบเดิม นี่เป็นผลงานล่าสุดของผู้กำกับ “ชอว์น อันเดอร์ส” ที่ช่ำชองในการสร้างผลงานหนังตลกสัปดนปนครอบครัวอลเวงดังมาหลายเรื่อง เรื่องนี้ได้ลองปรับเอาสูตรเดิม ๆ มาคลุกเคล้ากับสูตรความเป็นหนังเพลง ก็ถือว่าเป็นอะไรที่อร่อยไปอีกแบบ แม้ว่ามันจะยังไม่ใช่หนังมิวสิคัลที่สมบูรณ์แบบมากอะไรสักเท่าไหร่ ยังเป็นหนังเพลงที่ออกจะแปล่ง ๆ ไปบ้าง แต่หนังก็ถือว่ามีลีลาการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างสนุกในตัวเนื้อหาของตัวเอง จริง ๆ ถ้าหากว่า Spirited จะสร้างเป็นหนังตลกแฟนตาซี แบบที่ไม่ได้ใส่จังหวะของมิวสิคัลเข้าไปก็น่าจะทำได้เหมือนกัน แต่เสียงเพลงเหมือนจะใส่เข้าไปเป็นการขยายและบรรยายอารมณ์ของตัวละครได้เข้มข้นยิ่งขึ้น ถึงแต่ละบทเพลงอาจจะไม่ได้ขยี้และทิ้งอินเนอร์ให้ผู้ชมได้รู้สึกอินได้สักเท่าไหร่ ด้วยสตอรี่ของหนังที่มาแบบแน่น ๆ และพยายามเร่งรีบแล้วอ่านต่อ