Cinderella

เฮ้อออ…พอได้ยินว่าจะมีซินเดอเรลล่าสร้างออกมาใหม่ ก็ได้แต่กรอกตามองบน พร้อมกับนึกขึ้นมาในใจว่า “อีกแล้วเหรอ?” เพราะเทพนิยายเพ้อฝันเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้เรื่องกันเป็นอย่างดี นับตั้งแต่ลืมตาดูโลกขึ้นมา กลายเป็นความน้ำเน่าที่วนเวียนอยู่ในชีวิตเราๆ มาหลายครั้ง เป็นเหมือนโรงลิเกที่ซ้ำไปซ้ำมาอยู่เรื่อยๆ กระทั่งมาถึง “Cinderella” ในฉบับล่าสุดปี 2021 ที่มาพร้อมกับการตีความใหม่ เล่นใหญ่ และมิวสิคัลจัดเต็ม นี่คือหนังที่ถ้าไม่ชอบก็คือเกลียดสุดๆ ไปเลย Cinderella ในเวอร์ชั่นนี้ดัดแปลงมาจากเทพนิยายดั้งเดิมและตีความใหม่ ที่มาพร้อมกับเรื่องราวของ ซินเดอเรลล่า เด็กสาวกำพร้าพ่อแม่ที่ต้องอยู่กับแม่เลี้ยงและลูกๆ ของเธอ แม้จะถูกลดขั้นไปนอนอยู่ที่ห้องใต้ดิน แต่ที่นั่นกลายเป็นหลุมหลบภัยชั้นดีของเธอ ที่ทำให้เธอได้เนรมิตดีไซน์ชุดสุดเริ่ดที่มาจากพรสวรรค์ของเธอ เพราะความฝันของเธอคืออยากจะเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ที่ยืนหยัดด้วยตัวเองให้ได้ และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของนางซินฉบับใหม่แตกต่างไปจากเดิม… ที่เกริ่นเอาไว้ว่า…นี่เป็น Cinderella ฉบับรัชดาลัยมาทั้งโรงละคร ก็ไม่น่าจะพูดเกินจริงไปสักเท่าไหร่ เพราะหนังอัดแน่นด้วยความเป็นมิวสิคัลแบบอารมณ์ละครเวทีฟุ้งตลอดทั้งเรื่อง ใส่เพลงฮิตเพลงดังอมตะเข้ามาสร้างสีสันและผสมโรงกับเรื่องราวได้เป็นอย่างดี ขณะที่เพลงออริจินัลของหนังที่โดดเด่น อย่าง “Million to One” หรือ “Dream Girl” ก็ไพเราะติดหูเป็นอย่างดี เรียกได้เพลงต่างๆ ที่มีความหลากหลาเป็นจุดแข็งของหนังเรื่องเลยก็ว่าได้ถือว่านานสักระยะแล้วที่ไม่ได้เห็นหนังที่มีความโดดเด่นที่เพลงประกอบภาพยนตร์ที่ควรค่าแก่การควักเงินซื้ออัลบั้มเก็บเอาไว้เป็นคลอเล็กชั่น Cinderella กลายเป็นหนังเรื่องล่าสุดที่ทำให้รู้สึกเช่นนั้น เพลงต่างๆ ถูกบรรจงสร้างและคัฟเวอร์ร้องใหม่ออกมาเป็นเวอร์ชั่นที่เพราะไม่แพ้กับต้นฉบับเลยทีเดียวอ่านต่อ

The Princess

ถึงคิวของหนังที่แปะชื่อเรื่องมาก็ไม่ต้องคิดถึงอะไรเลย เพราะมันคือหนังเจ้าหญิง แต่นี่ไม่ใช่หนังเจ้าหญิงที่คุ้นเคยกันสักเท่าไหร่ เพราะมันคือ..แม่หญิงขาบู๊ ใน “The Princess” หนังที่้ใส่เรื่องราวในเทพนิยายสูตรสำเร็จเดิม ๆ มาปรุงแต่งใหม่ด้วยการใส่ความแสบ ความเจ็บ และความซ่าส์ ของเจ้าหญิงที่ไม่เหมือนกับเจ้าหญิงที่เคยเห็นกัน เพราะเธอกลายเป็นคนสู้คน เตะต่อยเป็นเลิศ และยังใช้ดาบได้คล่องปรื๋อ! The Princess เป็นเรื่องราวขององค์หญิงอาณาจักรแห่งหนึ่ง ที่ได้ตื่นฟื้นขึ้นมาพบว่าตัวเองถูกมัดและกักขังตัวเอาไว้บนหอคอยสูงบนปราสาทของตัวเอง นางค่อย ๆ รวบรวมสติและนึกย้อนว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้าที่ ก่อนจะเผชิญหน้ากับเหล่าร้ายเป็นชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ที่ถาโถมต่อกรกับนางแบบไม่หยุดหย่อน คนพวกนี้คือทรราชที่หมายจะเข้ามาบุกยึดอำนาจและบัลลังก์ของเสด็จพ่อขององค์หญิง ดังนั้นนางจะเป็นเพียงความหวังเดียวที่จะกอบกู้แผ่นดินนี้ ด้วยพละกำลังและลีลาการต่อสู้ที่ใคร ๆ ก็ประเมินเอาไว้ต่ำเกินไป บอกเลยว่าหนังเรื่องน่าจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปฏิวัติวงการเจ้าหญิงดิสนีย์งดงามต่าง ๆ อย่างแน่นอน เพราะแทนที่เราจะได้สัมผัสกับความชดช้อยขององค์หญิงในรูปแบบขับขานร้องเพลง และสนทนากับสรรพสัตว์ มันถูกแทนที่ด้วยฉากบู๊ระห่ำและซีนการต่อสู้แบบดุเดือดนับตั้งแต่นาทีแรกของหนังที่เริ่มเปิดฉากขึ้นอย่างไม่รีรออะไรทั้งนั้น นี่คือการกำกับหนังฮอลลิวูดของผู้กำกับหนุ่มชาวเวียดนาม “เล-แวนเกียต” ที่อาจจะเคยมีประสบการณ์ทำหนังฝรั่งมาบ้าง แต่ก็เป็นแค่หนังทุนต่ำและหนังเกรดบีเป็นส่วนใหญ่และเมื่อเขาได้มาจับชิ้นงานหนังระดับสตูดิโอแล้ว ก็คงต้องบอกว่า…ก็เป็นไปตามน้ำ งานชิ้นนี้แทบจะไม่มีอะไรหวือหวาใด ๆ นอกจากซีนแอคชั่นและการออกแบบฉากสตันท์ต่าง ๆ จะว่าเป็นหนังขยะก็พูดไม่ได้เต็มปาก เพราะจะว่าไปแล้ว The Princess ก็สามารถมอบความบันเทิงและความสนุกให้กับผู้ชมได้ดีเรื่อย ๆอ่านต่อ

Uncut Gems

หนัง ภาพยนตร์ Uncut Gems เล่าเรื่องราวของฮาวเวิร์ด แรทเนอร์ พ่อค้าจิวเวลรี่ลูกสามที่หย่าร้างกับเมีย ฮาวเวิร์ดออกมาอาศัยอยู่ที่อพาร์ทเมนต์กับแฟนสาวสุดฮ็อต จูเลีย ซึ่งทำงานเป็นพนักงานในร้านจิวเวลรี่ของเขาด้วย เขาติดการพนันและยืมเงินจาก อาร์โน ญาติของตัวเอง รวมทั้งเจ้าหนี้อื่นๆมาเป็นจำนวนมาก ทำให้เขาต้องหาทางเอาตัวรอดจากเจ้าหนี้รายต่างๆ ที่ใช้วิธีสารพัดทั้งข่มขู่และลักพาตัว สิ่งที่เป็นความหวังของฮาวเวิร์ดคือโอปอล์ที่เขาลักลอบขนมาจากแอฟริกา และคิดว่ามีมูลค่ากว่าล้านเหรียญ ซึ่งจะช่วยปลดหนี้และทำให้เขาเป็นมหาเศรษฐี แต่เหตุการณ์ทั้งหลายแหล่ก็ต่างประเดประดังเข้ามาก่อนการประมูลโอปอล์ก้อนนั้น ไม่ว่าจะเป็นการที่นักบาสชื่อดังยืมโอปอล์ไปแล้วไม่คืน หรือการที่เขาโดนเจ้าหนี้คุกคาม ในระหว่างที่เขาแก้ปัญหาไปตามสถานการณ์ เขาก็เอาเงินที่ได้มาทุกดอลลาร์ไปพนันจนหมด ทำให้เจ้าหนี้ของเขาโกรธอยู่เป็นพักๆ หนัง ภาพยนตร์ Uncut Gems อาจเล่าเรื่องด้วยสไตล์ที่เวลาเป็นเส้นตรง ซึ่งไม่มีอะไรหวือหวานัก แต่ทำให้เราได้เห็นการดิ้นรนเพื่อแก้ปัญหาของตัวเอก ที่ไม่ได้มีเพียงเรื่องเงิน (แม้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องนี้) แต่ยังรวมถึงความสัมพันธ์กับดินา ภรรยาเก่า และลูกๆ ทั้งสาม เขาพยายามทำตัวเป็นพ่อและอดีตสามีที่ดี ด้วยการไปใช้เวลากับครอบครัวและพ่อแม่ภรรยา แต่เขากลับไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองดีพอ หากจะมีเสียงใดที่โดดเด่นที่สุดในเรื่องนี้ ก็คือเสียงพูดคุยของคนมากมายที่มาหาฮาวเวิร์ดและนำปัญหามาให้เขาพร้อมๆกันทั้งเจ้าหนี้และพนักงานที่ร้าน ซึ่งฮาวเวิร์ดนั้นก็ไม่ใช่นักแก้ปัญหาที่ดีได้แต่เอาตัวรอดไปวันๆ และยังเป็นคนปลิ้นปล้อน ชอบโกหกนิดๆอีกด้วย ไม่น่าแปลกใจที่ตัวละครนี้ทำให้คนอื่นๆ รอบตัวเขาเอือมระอาและโกรธในเวลาเดียวกัน ในหนัง ภาพยนตร์อ่านต่อ

The Greatest Beer Run Ever

และนี่คือก็หนังสงครามที่เคยเป็นกระแสและข่าวให้พูดถึงเมื่อปลายปีที่แล้ว เพราะเรื่องนี้ได้ยกกองถ่ายมาทำถ่ายทำในเมืองไทยเป็นหลัก นี่คือ “The Greatest Beer Run Ever” หนังที่ได้แรงบันดาลใจสร้างมาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นระหว่างสมรภูมิสงครามเวียดนาม ที่มาพร้อมกับทีมนักแสดงและทีมงานผู้สร้างระดับแนวหน้า ที่แน่นอนว่านี่คือหนังผจญสงครามที่น่าจะทำให้คนดูประทับใจได้ไม่ยากเลย The Greatest Beer Run Ever เป็นเรื่องราวในปี 1967 ช่วงระหว่างที่สหรัฐอเมริกาส่งกองทัพไปร่วมทำสงครามในเวียดนาม ชัคกี้ โดโนฮิว เป็นหนุ่มชาวนิวยอร์ก ที่เพื่อน ๆ ละแวกบ้านของเขาหลายคนเข้าร่วมกองทัพและถูกส่งตัวไปทำสงครามครั้งนี้ ในขณะที่เขายังเรื่อยเปือยและใคร ๆ ก็มองว่าไม่เอาถ่าน ก่อนที่เขาจะตัดสินใจสุดบ้าบิ่น ด้วยการรับภารกิจแบกเบียร์กระป๋องใส่กระเป๋าลงเรือข้ามทวีป เพื่อไปส่งมอบให้กับเพื่อน ๆ ของเขาที่อยู่ในสมรภูมิรบ กับปฏิบัติการตัวคนเดียวที่น่าเหลือเชื่อ แต่มันได้เกิดขึ้นกับเขาแล้วจริง ๆ นี่คือผลงานชิ้นล่าสุดของผู้กำกับ “ปีเตอร์ ฟาร์เรลลี่” ผู้สร้างหนังเจ้าของรางวัลออสการ์ อย่าง Green k ที่ยังคงพกสายเส้นและจังหวะการเล่าเรื่องสไตล์ทะมัดทะแมง พร้อมกับอินเนอร์ตลกร้ายเข้ามาในหนังได้อย่างหอมปากหอมคอ เขายังร่วมเป็นหนึ่งในทีมดัดแปลงเขียนบทหนังเรื่องนี้ด้วย โดยหยิบเอาบันทึกเรื่องจริงของ ชัคกี้ โดโนฮิว มาร้อยเรียงเป็นภาพออกมาในหนังสงครามเรื่องนี้อ่านต่อ

Halloween Ends

หลังจากที่เหี้ยมโหดมายาวนานกว่า 4 ทศวรรษ ไมเคิล ไมเยอร์ส ก็ยังคงแผลงฤทธิ์ไม่เลิก แต่นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของมัน แม้ว่าเราจะยังไม่ค่อยจะเชื่อว่าจะเป็นภาคสุดท้าย แต่ “Halloween Ends” ก็ได้ฤกษ์ส่งตัวอย่างหนังฉบับแรก ออกมาเปิดเผยจุดเริ่มต้นของบทสรุปความแค้นโหดอำมหิตในตำนานครั้งนี้ Halloween Ends ยังคงได้ “เดวิด กอร์ดอน กรีน” กลับมารับหน้าที่เป็นผู้กำกับหนังชุดเป็นเรื่องที่ 3 ในขณะที่ยังคงได้นักแสดงชุดเดิมกลับมาและหน้าใหม่มาสมทบ ไม่ว่าจะเป็น “แอนดี้ มาติแชก”, “วิล แพตตัน”, “โรฮัน แคมป์เบลล์”, “ไคล ริชาร์ด” และ “เจมส์ จู้ด คอร์ตนีย์” เตรียมมาพบกับบทสรุปครั้งนี้ โดยในบ้านเราจะได้ดูพร้อมกับฝั่งอเมริกา 13 ตุลาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส กับ บลัมเฮาส์ ได้จับมือกับสร้างบทสรุปความเหี้ยมของ ไมเคิล ไมเยอร์ส ที่ในครั้งนี้ “เจมี ลี เคอร์ตีส”อ่านต่อ

Hocus Pocus

ถือว่าหนังเรื่องนี้…เช็กวัยและอายุคนดูเหมือนกันนะ เพราะถ้าหากว่าคุณเป็นเด็กที่เติบมากับช่วงยุค 90 ก็น่าจะคุ้นหน้าคุ้นตากับหนังแฟนตาซีตลกเรื่องนี้ ที่เคยเป็นหนึ่งในมาสเตอร์พีชของ วอลต์ ดิสนีย์ เมื่อในอดีต และพวกนางก็กลับมาแล้วใน “Hocus Pocus 2” ภาคต่อที่ทิ้งช่วงห่างไปเกือบ 30 ปีเต็ม พร้อมกับทีมนักแสดงหลัก ๆ ที่กลับมาคลายความคิดถึงอดีตอีกครา… Hocus Pocus ภาคนี้มีเรื่องราวเริ่มต้นจากกลุ่มเด็กสาววัยเรียนที่บังเอิญได้อัญเชิญเหล่าพี่น้องตระกูลแซนเดอร์สันกลับมาที่เซเลมอีกครั้ง หลังจากที่พวกนางสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยได้ 3 ทศวรรษ เหล่าแม่มดผู้หิวโหย ได้แก่ วินนี่เฟรด, แมรี่ และ ซาราห์ กำลังมองหาเหยื่อเด็กสาวที่จะมาสังเวยชีพให้กับพวกเธอได้กลับมาเปล่งปลั่งอีกครั้ง ทำให้เด็กสาวที่ต้องหาวิธีหยุดยั้งหายนะข้องเกี่ยวกับเวทมนตร์ครั้งนี้…ก่อนมันจะสายเกินคงต้องบอกว่าบรรยากาศเก่า ๆ เดิม ๆ ได้โชยกลับมาทันที วันวานวัยเด็กอันหอมหวานได้กลับหมุนรอบตัวอีกครั้ง ไม่น่าเชื่อว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงเท่านี้ แต่การได้เห็นนักแสดงชุดดั้งเดิมกลับมาอีกครั้ง ไมว่าจะเป็น “เบ็ตต์ มิดเลอร์”, “ซาราห์ เจสสิก้า พาร์คเกอร์” และ “เคธี นาจิมี” แค่นี้ก็นับว่าเป็นกำไรของคนดูแล้วจริง ๆอ่านต่อ

My Best Friend's Exorcism

มันจะเป็นอย่างไร..ถ้าหากว่าหยิบจับเอาหนังไฮสคูลมาผสมรวมกับหนังสยองขวัญปราบผี ก็น่าจะออกมาแบบในหนังออนไลน์เรื่องใหม่ที่มีไอเดียที่น่าสนใจไม่น้อย อย่าง “My Best Friend’s Exorcism เพื่อนรัก เพื่อนหลอน” ที่เป็นการกรองเอาสูตรสำเร็จจากหลาย ๆ องค์ประกอบมายำรวมไว้ ทั้งหนังวัยรุ่น หนังผี หนังวินเทจ คลุกเคล้าให้เข้ากันออกมาเป็นหนังเรื่องใหม่ ที่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกับว่าจะใช้รสชาติที่ประทับใจหรือไม่ My Best Friend’s Exorcism เพื่อนรัก เพื่อนหลอน เป็นเรื่องราวในปี 1988 แอ๊บบี้ กับ เกรทเช่น เป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่ชั้นประถม แต่ปรากฏว่าคืนหนึ่งที่พวกเธอได้ย่องเข้าไปสำรวจบ้านร้าง ทุกอย่างหลังจากนั้นก็เปลี่ยนไป เกรทเช่นเริ่มมีพฤติกรรมแปลกไป และไม่ใช่เพื่อนสาวคนเดิมที่เคยรู้จัก ทำให้แอ๊บบี้จึงค่อย ๆ สืบหาเบาะแสอะไรบางอย่างว่าในคืนนั้นเพื่อของเธอเผชิญหน้ากับอะไรกันแน่ จนทำให้เชื่อว่า เกรทเช่าน่าจะถูกปีศาจร้ายเข้าสิงสู่ และเธอจะต้องหาทางช่วยเพื่อนให้ได้หนังเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนิยายขายดีที่มีชื่อเดียวกันของ กราดี้ เฮนดริกซ์ ที่ถือว่าเป็นงานมาสเตอร์พีชอีกชิ้นหนึ่งของเขาเลยก็ว่าได้ ผ่านการสร้างสรรค์ของผู้กำกับหนุ่มที่ช่ำชองงานสร้างซีรีส์หลายเรื่อง อย่าง “เดมอน โทมัส” ที่นาน ๆ ครั้งเขาจะหยิบจับสร้างหนังสักเรื่อง และยังได้นักแสดงสาวอ่านต่อ

Blonde

ได้ฤกษ์เปิดตัวฉายโหมโรงไปแล้วตามเทศกาลหนังต่าง ๆ ตลอดเดือนกันยายนที่ผ่านมา สำหรับหนังดราม่าที่หยิบเอาชีวิตเซ็กส์ซิมโบลในตำนานมาขึ้นจออีกครั้ง กลายมาเป็นหนังดราม่าโรแมนติกที่ติดเรตแรงมาก ๆ ถึง NC-17 ที่เรียกกระแสฮือฮาไม่น้อย นี่คือ “Blonde” ที่จะเป็นการเข้าไปสำรวจอีกหนึ่งช่วงชีวิตของ มาริลีน มอนโร Blonde หยิบยกเรื่องราวของไอคอนคนสำคัญคนหนึ่งของฮอลลีวูดอย่างมาริลีน มอนโรมาบอกเล่าใหม่ได้อย่างโดดเด่น จากวัยเด็กที่ไม่ค่อยมั่นคงของเด็กสาวที่ชื่อนอร์ม่า จีน สู่การก้าวไปเป็นดาราดังและความรักความสัมพันธ์สุดยุ่งเหยิง โดยเล่าผ่านทั้งเรื่องจริงและเรื่องแต่งที่เส้นแบ่งแสนเลือนราง เพื่อสำรวจช่องว่างระหว่างตัวตนที่เปิดเผยแก่สาธารณชนกับตัวตนที่เป็นส่วนตัวของเธอนี่คือการกลับมาสู่สังเวียนงานสร้างหนังใหญ่อีกครั้งของผู้กำกับ “แอนดรูว์ โดมินิก” หลังที่ปลีกตัวหันไปเอาดีกับหนังสารคดีในยุคหลัง ๆ ถือว่าเขาได้รับความไว้วางใจและกลับมาร่วมงานกับ แบรด พิตต์ อีกครั้ง ที่เป็นโปรดิวเซอร์ให้กับหนังเรื่องนี้ หลังจากที่ทั้งคู่เคยทำงานด้วยกันมาในดราม่าเรื่องยาว The Assassination of Jesse James by the Coward Robert Ford เมื่อทศวรรษก่อน หนังเรื่องนี้เป็นการดัดแปลงมาจากนิยายชีวประวัติเชิงพรรณนาของ “จอยซ์ แคโรล โอทส์” ที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานมาสเตอร์พีชของเธอ แต่อาจจะไม่สามารถบอกได้ว่านี่เป็นการตีแผ่ชีวิตของ มาริลีนอ่านต่อ

Don't Look at the Demon

ถึงคิวอีกหนึ่งหนังสยองขวัญที่เข้าโรงในสัปดาห์นี้ มีความน่าสนใจตรงที่เป็นหนังฝรั่งที่มีกลิ่นอายการเล่าเรื่องความเชื่อละแวกบ้านเรา เพราะผู้สร้างหลงใหลในหนังผีโซนอาเซียนและหยิบนำเอาความหลอนท้องถิ่นไปสร้างเป็นหนังในรูปแบบของเขา และกลายออกมาเป็น “Don’t Look at the Demon ฝรั่งเซ่นผี” ที่อ้างอิงว่านำมาจากพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ที่น่ากลัวและถูกสั่งห้ามเด็ดขาดในการประกอบพิธีนี้ในยุคปัจจุบัน Don’t Look at the Demon ฝรั่งเซ่นผี เล่าเรื่องราวของทีมนักล่าผีจากอเมริกาที่บินข้ามโลกมาพิสูจน์เคสจับวิญญาณที่ประเทศไทยและมาเลเซียก่อนที่จะต้องเจอกับอาถรรพ์เฮี้ยนจัดในแบบที่พวกเขาไม่เคยพบเคยเจอมาก่อนจนหนึ่งในสมาชิกของทีมโดนผีเล่นงานเข้าอย่างจังเดือดร้อนถึงพระสงฆ์ชาวไทยผู้แกร่งกล้าในอาคมที่ต้องยื่นมือเข้ามาต่อสู้กับวิญญาณที่กำลังแผลงฤทธิ์นี่คือผลงานการกำกับและเขียนบทโดย “แบรนโด ลี” ผู้กำกับชาวมาเลเซีย ที่รับหน้าที่เกือบจะทุกอย่างในหนังเรื่องนี้ เขาบอกว่ากลั่นครองเรื่องราวมาจากประสบการณ์โดยตรงที่เขาเคยพบเห็นและสัมผัสมาตั้งแต่ตอนเด็ก กลายออกมาเป็นหนังผีที่มีกลิ่้นอายความเป็นอาเซียนอบอวลไปทั้งเรื่อง โดดเด่นด้วยการได้นักแสดงจากฝั่งฮอลลิวูดมาแสดง แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นนักแสดงเกรดรอง ๆ ที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรสักเท่าไหร่ ด้านการแสดงของทีมแคสติ้งของหนังเรื่องนี้ แทบไม่มีอะไรเลย ที่เห็นจะมีชื่อเสียงที่สุดแล้วก็คงจะเป็น “แฮร์ริส ดิกคินสัน” ที่มาแสดงเอาไว้ตั้งแต่สมัยก่อนที่เขาจะเดบิวต์แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวซ้ำ (ทราบว่าหนังถ่ายทำไว้ตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด) ทีมนักแสดงหลาย ๆ คนค่อนข้างโนเนมไปสักหน่อย การแสดงของพวกเขาก็จัดได้ว่าธรรมดา ไม่ได้หวือหวาอะไร แต่ก็ทุ่มเทให้กับบทบาทที่รับเต็มที่ แม้ว่าบทหนังจะค่อนข้างอ่อนและไม่มีอะไรให้จำเลยก็ตามเอาเป็นว่าโดยรวมแล้วนั้น Don’t Look at the Demon ฝรั่งเซ่นผี ก็จัดได้ว่าเป็นหนังผี ที่ทำหน้าที่ในการเป็นหนังผีได้ตามมาตรฐานอ่านต่อ

"Smile

ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณความหลอนที่รองรับและต้อนรับการมาของเทศกาลวันปล่อยผี และนี่คือจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการกับรอยยิ้มที่น่าสยดสยองกับหนังเขย่าขวัญเรื่องล่าสุด “Smile ยิ้มสยอง” ที่จะมาเปลี่ยนมุมมองของผู้ชมต่อรอยยิ้มสง่าไปตลอดกาล นี่คือหนังที่มาพร้อมกับไอเดียและแนวคิดของหนุ่มนักสร้างหนังรุ่นใหม่ไฟแรง ที่พรั่งพรูด้วยลูกเล่นและกิมมิกอันฉวัดเฉวียนที่หยอดกับใส่มาในหนังตลอดทั้งเรื่องนี้ Smile ยิ้มสยอง เล่าเรื่องหลังจากที่ผ่านพบเห็นกับอุบัติเหตุสุดประหลาดและสะเทือนใจที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยของตัวเอง ดร.โรส คอตเตอร์ ก็เริ่มพบว่าตัวเองประสบพบกับความน่ากลัวอะไรบางอย่างที่เธอก็อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ เธอต้องเผชิญหน้ากับอดีตที่หนักอึ้ง พร้อมกับแบกจิตใจของตัวเองหลีกหนีออกมาจากความจริงในปัจจุบันที่่ยิ่งน่าสะพรึงมากกว่า ภายใต้รอยยิ้ม..สยองนั้นนี่คือผลงานเดบิวต์หนังใหญ่เรื่องแรกของ “พาร์คเกอร์ ฟินน์” นักสร้างหนังหนุ่มเจนใหม่ที่มีประสบการณ์การทำงานหนังสั้นและอยู่เบื้องหลังโปรเจกต์อื่น ๆ มาได้สัก 4-5 ปี บัดนี้เขาก็ได้รับโอกาสยิ่งใหญ่ในการปลุกปั้นหนังเขย่าขวัญจากไอเดียและแนวคิดของตัวเอง ด้วยการหยิบเอากิริยาอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์มากลั่นกรองออกมาเป็นหนังสยองขวัญและน่าสะพรึงกลัว แม้ว่าคอนเซ็ปต์และไอเดียของ Smile ยิ้มสยอง จะค่อนข้างดูแล้วเวิร์กก็ตาม แต่เมื่อลองมาสัมผัสเนื้อหาและเนื้อในจากในตัวหนังทั้งเรื่องนั้น ยังพบว่าหนังยังมีช่องโหว่อยู่เต็มไปหมด โดยเฉพาะการใส่ใจเรื่องน้ำหนักของแกนเรื่อง ที่น่าเสียดายที่หนังเกือบจะทำออกมาได้ดีใช้ได้แล้ว แต่น้ำหนักในองค์ประกอบหลักต่าง ๆ ยังค่อยข้างเบาโหวงไปสักหน่อย จึงทำให้แกนความดราม่าและความสยองต่าง ๆ เหมือนยังเล่นได้ไม่สุดทางเสียทีเดียวการเล่าเรื่องของ Smile ยิ้มสยอง ก็ถือว่าเป็นจุดที่บกพร่องไปอย่างน่าเสียดาย เพราะนี่กลายเป็นหนังสยองขวัญที่มีความยาวเกือบ 2 ชั่วโมง แต่น้ำหนักของแกนเรื่องต่าง ๆ ยังไม่สามารถแบกตัวเรื่องไปได้ตลอดทางนัก จึงทำให้หนังให้ความรู้สึกที่ยืดยาวไปสักหน่อย หากทำให้กระชับขึ้นกว่านี้สักหน่อยอ่านต่อ